การลงทุนเมื่อมีเงินเก็บ 10 ล้าน จะทำให้สามารถเข้าถึงสินทรัพย์ส่วนใหญ่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุนดัชนี IPO หรือคริปโตเคอเรนซี่
คู่มือนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจว่า ถ้ามีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด ในลักษณะที่หลากหลาย เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนจะไม่ลงทุนในตลาใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
10 วิธีที่ดีที่สุด ถ้ามีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีในปี 2024
การลงทุนที่ดีที่สุดเมื่อต้องบริหารเงิน 10 ล้าน ควรพิจารณาสิ่งต่อไปนี้:
- Sponge V2 – วิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีในเหรียญมีมยอดนิยม
- Dividend Stock – ลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ
- Growth Stock – ลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง
- REITs – สร้างพอร์ตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย
- กองทุนดัชนี – ลงทุนในกองทุนหุ้น
- 401 (k)s และ IRAs – ช่องทางลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
- หุ้น IPO – ลงทุนในบริษัทก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- NFT – ซื้อ NFT บน Marketplace
- Crypto Staking – สร้างรายได้แบบพาสซีฟจากการลงทุนคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว
- Copy Trading – วิธีลงทุนตามเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
เราจะรีวิวว่า ถ้ามีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีผ่านวิธีการข้างต้นโดยละเอียดในส่วนต่อไป
รีวิวเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญที่สุดในการประเมินว่ามีเงิน 10 ล้าน ทำอะไรดี คือ พอร์ตการลงทุนจะต้องหลากหลาย ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการใส่ไข่ทุกใบลงในตะกร้าใบเดียว
ด้วยเหตุนี้ เราจะมารีวิว 10 วิธีที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบันกัน
1. Sponge V2 – วิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีในแพลตฟอร์มการขุดคริปโตบนคลาวด์
ตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเราเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีให้กำไรงอกเงย คือ Sponge V2 ซึ่งเป็นเหรียญมีมที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรับผลตอบแทนมูลค่าสูง และรับผลประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้น ถ้าคุณกำลังต้องการลงทุนในเหรียญมีมที่น่าสนใจ ตัวเลือกอย่าง SPONGEV2 จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกเหรียญมีมที่ควรพิจารณา เพราะความแตกต่างของเหรียญมีมเหรียญนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างกระแสไวรัลเท่านั้น แต่ยังได้รับประโยชน์ใช้งานที่มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา และมีการสนับสนุนจากชุมชนอย่างแข็งแรงมาโดยตลอด
Sponge V2 เป็นโปรเจ็กต์ใหม่ที่ต่อยอดจาก Sponge V1 ซึ่งเคยสร้างความประทับใจให้แก่นักลงทุนด้วยผลตอบแทนที่สูงขึ้นเกือบ 100 เท่า และตอนนี้โครงการเปิดให้ซื้อและ Stake Sponge V1 เพื่อรับ Sponge V2 ได้แล้ว
SpongeV2 เพิ่มเติมลูกเล่นที่มากขึ้นกว่าเก่า เช่น ประโยชน์ใช้งานจากเกม P2E และการ Stake โทเค็นเพื่อสร้างรายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ SpongeV2 ยังตั้งเป้าหมายที่มากกว่าที่เคยทำได้ใน SpongeV1 ซึ่งเคยลิสอยู่บนกระดานแลกเปลี่ยนแบบ centralized มากกว่า 10 รายการ เช่น LBank , Toobit , CoinW , BTCEX, Poloniex , MEXC, Gate.io, Bitget , BitKan และ BitMart และมุ่งหวังที่จะลิสบนกระดานแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ขึ้น เช่น OKX หรือ Binance
พร้อมด้วยความพยายามที่จะใช้ชุมชนขนาดใหญ่เป็นแรงขับเคลื่อนให้โทเค็นโดดเด่นมากขึ้นไปอีก และน่าจะทำให้ SpongeV2 ประสบความสำเร็จได้แบบไม่นานเกินรอ
นอกจากนี้ ยังสามารถอ่านไวท์เปเปอร์ Sponge V2 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Sponge V2 ซึ่งจะบอกทุกรายละเอียดเกี่ยวกับโทคีมิกส์ของเหรียญ และเหตุผลที่ไม่ควรพลาดการเป็นเจ้าของ Sponge V2 ในปี 2024 นี้
เพดานเงินทุน
ไม่ระบุ
โทเค็นทั้งหมด
150 พันล้าน
โทเค็นในช่วงพรีเซลล์
ไม่ระบุ
Blockchain
เครือข่าย Ethereum
ประเภทโทเค็น
ERC-20
เงินลงทุนขั้นต่ำ
ไม่มี
ซื้อได้ด้วย
ETH, USDT, Card
2. Dividend Stock – ลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ
Dividend stock หรือหุ้นปันผล ก็ควรพิจารณาเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี เพราะหุ้นปันผลมีการเติบโตของพอร์ตการลงทุนใน 2 วิธี ประการแรก คือ เมื่อมูลค่าของหุ้นปันผลเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็จะได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น
ประการที่สอง คือ หุ้นจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุก ๆ 3 เดือน ซึ่งหมายความว่านักลงทุนจะสร้างรายได้ได้อย่างสม่ำเสมอตราบเท่าที่บริษัทยังคงจ่ายเงินปันผล แน่นอนว่าแม้แต่หุ้นปันผลที่ดีที่สุดในตลาด ก็อาจประสบปัญหาทางการเงินได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถรับประกันความเสี่ยงนี้ได้
ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางการแพร่ระบาด บริษัทหลายแห่งตัดสินใจตัดหรือระงับนโยบายการจ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ มีหุ้นปันผลบางตัวที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลมาอย่างยาวนาน และเพิ่มปริมาณของเงินปันผลที่ได้ แม้อยู่ในช่วงตลาดซบเซาและถดถอยก็ตาม
Aristocats หมายถึง หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็นเวลาอย่างน้อย 25 ปีติดต่อกัน ในทางกลับกัน หุ้นปันผลที่ประสบความสำเร็จมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 50 ปีติดต่อกัน เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา หรือมากกว่านั้น
หุ้นปันผลที่ยืนหยัดมาอย่างยาวนานที่สุดในตลาดนี้ ได้แก่ American States Water, Dover, Procter & Gamble, 3M, Coca-Cola และ Colgate-Palmolive โดย American States Water ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ ที่เพิ่มปริมาณของเงินปันผลประจำปีอย่างต่อเนื่อง 67 ปีติดต่อกัน
หุ้น Mid cap นี้ไม่เพียงแต่เสนออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อเนื่องที่ 1.92% เท่านั้น แต่ยังสร้างกำไรจากหุ้นเกือบ 70% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นปันผลอันดับสอง ก็คือ Dover หุ้นตัวนี้มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อเนื่องที่ 1.62% เพิ่มจากช่วง 5 ปีที่แล้วกว่า 80%
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การถือหุ้นปันผลเป็นเวลาหลายทศวรรษ จะทำให้นักลงทุนสนใจราคาหุ้นของแต่ละบริษัทน้อยลง เพราะตราบใดที่การจ่ายเงินปันผลยังคงเพิ่มขึ้น หุ้นดังกล่าวก็น่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะนำเงินปันผลกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นทันทีอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากการเติบโตแบบทบต้น ซึ่งหุ้นที่จะซื้อใหม่ก็จะได้รับเงินปันผลเช่นกัน แต่นอกจากจะสนใจบริษัทที่จ่ายเงินปันผลดีแล้ว ยังควรสนใจบริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยด้วย
เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดเป้าหมายลงทุนระยะสั้นได้ นอกจากนี้ ยังควรพิจารณา ETF ที่มีหุ้นปันผลโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีลงทุน ETF ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด คนที่มองว่าหุ้นปันผลเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนเมื่อมีเงินเก็บ 10 ล้าน สามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่ไม่มีค่าคอมมิชชันได้ที่ eToro ซึ่งมีบริษัทให้เลือกมากกว่า 2,500 แห่ง
3. Growth Stock – ลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูง
ราคาของหุ้นปันผลมักจะเติบโตช้า ดังนั้น เมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีให้เงินงอกเงย จึงควรพิจารณา Growth Stock ที่กำลังเติบโตไว้ด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะหมายถึง บริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยตลาด
บางกรณีอาจหมายถึงบริษัทก่อตั้งใหม่ ที่กำลังพัฒนาเพื่อศักยภาพสูงสุด หรือบางกรณีอาจหมายถึงบริษัทที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ และมีการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
Growth Stock ที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด คือ บริษัท Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่เริ่มต้นในปี 2010 ในราคาเพียง 1.28 ดอลลาร์ (ปรับตามการแบ่งหุ้นครั้งล่าสุด) และในขณะที่เขียนบทความนี้ Tesla ซื้อขายที่ราคามากกว่า 275 ดอลลาร์แล้ว ซึ่งแสดงถึงการเติบโตมากกว่า 20,000% ซึ่งหมายความว่า การลงทุนเพียง 10,000 บาทในปี 2010 จะมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาทในวันนี้
ส่วนหุ้นอย่าง Amazon และ Apple ที่แม้ว่าจะเป็นบริษัทบลูชิพแล้ว แต่ก็ควรถูกมองว่าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ของการซื้อขายใน S&P 500 เติบโตขึ้นเกือบ 60%
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Amazon และ Apple แล้ว มีการเติบโตขึ้นประมาณ 160% และ 280% ตามลำดับ อีกวิธีหนึ่งในการค้นหาหุ้นที่มีการเติบโตสูง คือ การสำรวจแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ขณะนี้นักลงทุนจำนวนมากหันไปสนใจบริษัทน้ำมันและก๊าซ เนื่องจากราคาพลังงานทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็น Devon Energy และ ConocoPhillips ซึ่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโต 150% และ 100% ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทยังจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อเนื่องที่ 6.6% และ 4% ด้วย ส่วนวิธีต่อไป คือ การค้นหาหุ้นเติบโตที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเกิดใหม่
ตัวอย่างเช่น AI, machine learning และบล็อกเชน เพราะการลงทุนในหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้ราคาซื้อที่ถูกที่สุด นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนใน ETF ของ Growth stock ได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้าถึงตลาดนี้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตว่าในหลายกรณี Growth stock จะไม่จ่ายเงินปันผล เนื่องจากต้องนำกำไรสะสมที่ได้กลับไปลงทุนใหม่เพื่อการพัฒนาของบริษัท ทั้งนี้ การซื้อหุ้นใด ๆ ควรต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำ ตัวอย่างเช่น eToro ที่คิดค่าคอมมิชชั่น 0%
4. REITs – สร้างพอร์ตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย
อสังหาริมทรัพย์ เป็นตลาดที่มั่นคงและเป็นทางเลือกที่ดีเมื่อเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพียงแห่งเดียว เพราะการกระจายความเสี่ยงถือเป็นกุญแจสำคัญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งควรเลือกรูปแบบของที่อยู่อาศัยให้หลากหลายเพื่อลดความเสี่ยง
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลือกใช้ REIT (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) โดยแนวคิดหลักของการลงทุนใน REIT ไม่ได้แตกต่างจาก ETF ทั่วไปมากนัก เนื่องจากกอง REIT จะซื้อในนามของนักลงทุน
REIT ที่มีแนวโน้มที่จะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการลงทุนใน ETF จะทำให้ง่ายต่อการเข้าถึงพอร์ตการลงทุน ซึ่งราคาตลาดของกองทรัสต์จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามมูลค่าของทรัพย์สินที่ถืออยู่ ตัวอย่างเช่น หากตลาดที่อยู่อาศัยแข็งแกร่งขึ้น REIT นี้ก็มีแนวโน้มจะ แข็งค่าขึ้น
ข้อดีที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการลงทุนใน REIT คือ การจ่ายเงินปันผลเป็นประจำทุกเดือน เงินปันผลในที่นี้จะเป็นการจ่ายค่าเช่าที่กองทรัสต์เรียกเก็บจากผู้เช่า ทำให้ REIT เป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ
REIT บางแห่งจะมุ่งเน้นไปที่อพาร์ทเมนท์ที่พักอาศัย และคอมเพล็กซ์ บางแห่งจะเน้นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และคลังกระจายสินค้า ส่วนบางแห่งจะเน้นเฉพาะภาคการดูแลสุขภาพ โดยการเป็นเจ้าของและให้เช่าโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม REIT มีสภาพคล่องพอ ๆ กับหุ้น แต่แตกต่างจากอสังหาริมทรัพย์แบบดั้งเดิม เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถถอนสถานะของตนในช่วงเวลาทำการของตลาดได้ทุกเมื่อ และซื้อขายผ่านโบรกเกอร์อย่าง eToro ได้ ซึ่งมีทั้ง REIT เพื่อที่อยู่อาศัย การพาณิชย์ และการดูแลสุขภาพที่หลากหลายโดยไม่มีค่าคอมมิชชัน
5. กองทุนดัชนี – ลงทุนในกองทุนหุ้น
กองทุนดัชนี เป็นตัวเลือกยอดนิยมของนักลงทุนรายย่อย สินทรัพย์ประเภทนี้จะดึงดูดผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่สามารถเลือกบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดประสบการณ์หรือเวลา แต่กองทุนดัชนีจะมีหุ้นจากตลาดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
กองทุนดัชนีที่มีการซื้อขายมากที่สุดทั่วโลก ได้แก่ Dow Jones และ S&P 500 ซึ่งทั้งสองกองทุนมีทิศทางขาขึ้นที่คล้ายคลึงกันตลอดหลายทศวรรษ Dow Jones เป็นกองทุนดัชนีที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ได้รับการคัดเลือก 30 แห่ง ซึ่งแต่ละบริษัทเป็นหุ้นขนาดใหญ่ และมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ หุ้นที่อยู่ในดัชนี Dow Jones จะมาจากอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่าง ๆ ที่หลากหลาย ประกอบด้วย:
- 3M
- American Express
- Amgen
- Apple
- Boeing
- Caterpillar
- Chevron
- Cisco
- Coca-Cola
- Dow
- Goldman Sachs
- Home Depot
- Honeywell
- IBM
- Intel
- Johnson & Johnson
- JPMorgan Chase
- McDonald’s
- Merck
- Microsoft
- Nike
- Procter & Gamble
- Salesforce
- Travelers
- UnitedHealth
- Verizon
- Visa
- Walgreens Boots Alliance
- Walmart
- Walt Disney
จากที่กล่าวไว้ข้างต้น การลงทุนในกองทุนดัชนี Dow Jones มีความเสี่ยง แต่กองทุนดัชนีจะมีการถ่วงน้ำหนักหลาย ๆ บริษัท ซึ่งน้ำหนักของแต่ละบริษัทจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นของบริษัทนั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น UnitedHealth คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของ Dow Jones โดยมีราคาหุ้นและมูลค่าตลาดอยู่ที่ 519 ถึง 485 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Microsoft จะมีมูลค่าตลาดเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็คิดเป็นเพียง 5.4% ของ Dow Jones เนื่องจาก ณ วันที่เขียน ราคาหุ้นของ Microsoft อยู่ที่ 261 ดอลลาร์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กองทุนดัชนีส่วนใหญ่เลือกใช้ระบบถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เนื่องจากเป็นข้อบ่งชี้ถึงอิทธิพลที่หุ้นมีต่อเศรษฐกิจโดยรวม S&P 500 ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ซึ่งให้น้ำหนักดัชนีตามการประเมินมูลค่า ตัวอย่างเช่น Apple, Microsoft, Amazon และ Tesla ต่างก็มีน้ำหนักมากที่สุดใน S&P 500
นอกจาก Dow Jones และ S&P 500 แล้ว ยังมีกองทุนดัชนีอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น กองทุนดัชนีที่เน้นหุ้นประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กองทุนหุ้นปันผล หรือบริษัทจากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ กองทุนดัชนียังเสนอการเข้าถึงหุ้นที่มีการเจริญเติบโตและแม้แต่พันธบัตรที่หลากหลายด้วย
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด กองทุนดัชนีอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีเพื่อสร้างรายได้ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในกองทุนดัชนี เช่น Dow Jones จะให้เงินปันผลรายไตรมาส เช่นเดียวกับบริษัทหลายแห่งใน S&P 500
6. 401 (k)s และ IRAs – ช่องทางลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อลงทุน คือ ผลกระทบทางภาษีที่โดยทั่วไปจะต้องชำระภาษีจากกำไรที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น การขายหุ้นที่มีกำไร หรือการรับเงินปันผล ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนในสหรัฐฯ จึงควรพิจารณาลงทุนผ่านวิธีที่ช่วยให้ประหยัดภาษีอย่างเหมาะสม
เมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่ประหยัดภาษี จะมีตัวเลือกระหว่าง 401 (k) หรือ IRA ซึ่งนายจ้างมากกว่า 50% ในสหรัฐอเมริกาเสนอแผน401 (k) นี้ เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ลงทุนที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีประหยัดภาษีได้สูงถึง 20,000 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีสามารถลงทุนได้มากขึ้นที่ 27,000 ดอลลาร์
เพราะภาษีจากการลงทุนจะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะเกษียณอายุ ตัวอย่างเช่น หากต้องการลงทุน 1,000 ดอลลาร์ ใน 401 (k) เงินจำนวน 1,000 ดอลลาร์นี้จะถูกนำไปลงทุนโดยไม่ต้องจ่ายภาษีใด ๆ ซึ่งจะทำให้เงินเย็นเติบโตเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาษีจะถูกหักออกเมื่อถอนเงินออกจาก 401 (k)
ในทางกลับกัน Roth 401 (k) จะช่วยให้คนที่เกษียณอายุไม่ต้องจ่ายภาษีใด ๆ เพราะภาษีจะถูกหักออกจากเงินเดือนของพนักงานตามปกติ และข้อดีที่เหมือนกับ 401 (k) ก็คือ นายจ้างจะมีการสมทบเงินลงทุนด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น นายจ้างอาจสมทบ 4% ของเงินสมทบประจำปี ซึ่งหมายความว่า การลงทุนจำนวน 20,000 ดอลลาร์ จะทำให้มีเงินลงทุนเพิ่มอีก 800 ดอลลาร์
นอกจากนี้ นักลงทุนอาจพิจารณา IRA ซึ่งบัญชีประเภทนี้สามารถซื้อผ่านโบรกเกอร์ออนไลน์ และมักจะรองรับทั้งแผน Roth และแผนดั้งเดิม นักลงทุนจะสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ได้หลากหลายเมื่อลงทุนผ่าน IRA โดยมีข้อจำกัดสูงสุดอยู่ที่ 6,000 ดอลลาร์ต่อปีหรือ 7,000 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
7. หุ้น IPO – ลงทุนในบริษัทก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
อีกทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ การเพิ่มทุนให้กับ IPO ที่ดีที่สุด (การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณะชน) ซึ่งเป็นกระบวนการที่บริษัทต่าง ๆ ดำเนินการเมื่อพวกเขาจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก ดังนั้น การเสนอขายหุ้น IPO จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในบริษัทได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในราคาที่น่าดึงดูด
การซื้อหุ้น IPO ไม่ได้สร้างผลตอบแทนในทุกรายการที่จะ แต่หุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาล ก็คือ Tesla ซึ่งเริ่มขายครั้งแรกในปี 2010 และปัจจุบันสร้างการเติบโตมากกว่า 20,000% นอกจากนี้ ยังมีหุ้น IPO ที่โดดเด่นอื่น ๆ ได้แก่ Amazon, Apple และ Microsoft ซึ่งทั้งหมดนี้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นบริษัทที่ มีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์
HCA Healthcare เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จในการเสนอขายหุ้น IPO โดยบริษัทจะเปิดตัวสู่สาธารณะในปี 2011 และปัจจุบันราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 535% อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีหุ้น IPO จำนวนมากที่ล้มเหลวในการดำเนินการ
ตัวอย่างที่เช่น Uber ขายหุ้น IPO ในปี 2019 และขณะนี้ หุ้น Uber มีราคาต่ำกว่าราคา IPO ถึง 30% ในขณะที่ การเสนอขายหุ้น IPO ของ Coinbase ก็มีราคาร่วงลงกว่า 80% ด้วยเหตุนี้ แม้ว่า IPO จะน่าสนใจ แต่ควรจัดสรรเงินทุนเพียงบางส่วนเท่านั้น
8. NFT – ซื้อ NFT บน Marketplace
ตลาดที่มีการเติบโตสูงอีกแห่งหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ NFT (Non-fungible token) ที่ดำเนินการบนบล็อคเชน แต่ไม่เหมือนกับสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ตรงที่ NFT แต่ละอันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำใคร
นอกจากนี้ NFT ยังสามารถแสดงความเป็นเจ้าของได้อีกด้วย ซึ่งหมายความว่า มีตลาดที่ซื้อขายได้ โอนกรรมสิทธิ์ได้ง่าย และปลอดภัย แม้ว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ แต่นักลงทุนบางรายก็สร้างผลกำไรอย่างมหาศาลได้จากวิธีลงทุน NFT ซึ่งขายในราคาที่สูงกว่าตลาดออนไลน์ทั่วไป
ตัวอย่างที่ดี คือ Bored Ape Yacht Club NFT ซึ่งเป็น NFT 10,000 รายการในปี 2021 และขายให้กับนักลงทุนในราคาเพียงไม่ถึง 200 ดอลลาร์ต่อตัว แต่ Bored Ape NFT กลับมียอดขายสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าการค้นหาคอลเลกชั่น Bored Ape จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็คุ้มค่าที่จะไปยังเว็บไซต์ Launchpad.XYZ เพื่อค้นหาโอกาสนั้น ๆ
หนึ่งในคอลเลกชันที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ Lucky Block โครงการที่สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รองรับการจับรางวัล NFT ซึ่งหมายความว่า การจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ จะต้องซื้อ NFT เพื่อเป็นตั๋วเข้าร่วมการจับรางวัลก่อนเท่านั้น แต่ยังสามารถได้รับรางวัลคริปโตอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย
รางวัลจะแจกจ่ายเป็นโทเค็น LBLOCK ซึ่งเป็นการขายพรีเซลของคริปโตเคอเรนซี่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรายการหนึ่งในปี 2022 เพราะหลังจากขายหมดในเดือนมกราคม 2022 LBLOCK ก็สร้างกำไรได้มากกว่า 6,000% ส่วนในแง่ของการจับรางวัลที่ Lucky Block ก็มีโอกาสลุ้นรับรางวัลได้ตั้งแต่ Lamborghini, Bored Ape Yacht Club NFT หรือ BTC 1 ล้านดอลลาร์
9. Crypto Staking – สร้างรายได้แบบพาสซีฟจากการลงทุนคริปโตเคอเรนซี่ในระยะยาว
ในทำนองเดียวกันกับหุ้นปันผลและพันธบัตร วิธี Staking เหรียญคริปโตก็เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีเช่นกัน เพราะสินทรัพย์คริปโตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง จึงไม่แนะนำให้ลงทุนเงินทั้งหมด 10 ล้านบาทในสินทรัพย์ก้อนนี้ แต่การจัดสรรเงินทุนบางส่วนมาลงทุนด้วยการ Staking ก็ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างรายได้แบบพาสซีฟได้
การ Staking กำหนดให้นักลงทุนต้องฝากโทเค็นคริปโตลงในแพลตฟอร์ม และรับดอกเบี้ยในอัตราคงที่อย่างสม่ำเสมอ การจ่ายดอกเบี้ยมักจะถูกจ่ายเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ซึ่งจะจ่ายในรูปแบบเดียวกันสินทรัพย์ที่ถูก Stake
แพลตฟอร์มการ Stake บางแห่งจะจ่ายเงินปันผลเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา ซึ่งอาจจ่ายเงินปันผลตั้งแต่ 2-3 วัน หรือ 1 ปี ในบางกรณี นักลงทุนจะสามารถเข้าถึง APY ที่ดีขึ้น หากเลือกระยะเวลาการ Stake ที่ยาวกว่าเดิม ในทางกลับกัน ยิ่งระยะเวลาสั้น APY ก็จะยิ่งต่ำลง
ตัวอย่างง่าย ๆ ของวิธีการ Staking มีดังนี้:
- นักลงทุน Stake 10 ETH ในระยะเวลา 6 เดือน ได้ APY 10%
- ดังนั้น ในช่วงเวลา 1 ปี นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็น 1 ETH (10% ของ 10 ETH)
- อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาการ Stake คือ 6 เดือน ดังนั้น ผลตอบแทนจึงมีมูลค่าเป็น 0.5 ETH
- หลังจากผ่านไป 6 เดือน นักลงทุนจะได้รับ 10.5 ETH
แพลตฟอร์ม Quint เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่จะลอง Staking เพราะการ Staking ในกองทุน Quint จะทำให้นักลงทุนได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝาก นอกเหนือจากการได้ตั๋วในการแข่งขันจับรางวัล
ซึ่งก็คือ การเข้าร่วมลุ้นรางวัล Bored Ape Yacht Club NFT ซึ่งรางวัลจะถูกแจกจ่ายให้กับผู้โชคดี และโทเค็นที่ Stake รวมถึงดอกเบี้ย จะถูกส่งคืนให้กับนักลงทุนทุกคน
10. Copy Trading – วิธีลงทุนตามเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
วิธีสุดท้ายที่เราจะพูดถึงเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ Copy Trade บน แพลตฟอร์ม eToro ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลียนแบบการลงทุนของเทรดเดอร์ที่ตัวเองเลือกได้ ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ซื้อหุ้น Devon Energy ผู้ใช้ eToro ก็จะซื้อ Devon Energy ในสัดส่วนเดียวกัน
วัตถุประสงค์ของฟีเจอร์นี้ คือ เพื่อให้ผู้ใช้ eToro สามารถซื้อและขายสินทรัพย์เลียนแบบเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งต้องเริ่มจากการใช้เวลาค้นคว้าเกี่ยวกับเทรดเดอร์ทั้งหมดที่มี โดยพิจารณาจากมีสถิติและข้อมูลมากมายบน eToro
ตัวอย่างเช่น เมื่อคลิกที่โปรไฟล์ของเทรดเดอร์ คุณจะสามารถดูตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนรายเดือนโดยเฉลี่ย คะแนนความเสี่ยง ตลาด ระยะเวลาเฉลี่ย และจำนวนผู้ติดตามทั้งหมดได้ หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ผู้ใช้ eToro สามารถลงทุนด้วยเงินเพียง 200 ดอลลาร์เพื่อ Copy Trade จากเทรดเดอร์ที่ต้องการได้
ตัวอย่างเช่น สมมติว่า ผู้ใช้ eToro ตัดสินใจลงทุน 5,000 ดอลลาร์ให้กับเทรดเดอร์รายหนึ่ง ซึ่งเทรดเดอร์ได้จัดสรรเงินทุน 15% ให้กับหุ้น Shell นั่นหมายความว่า ผู้ใช้ eToro ที่ลงทุน 5,000 ดอลลาร์ จะเข้าซื้อหุ้น Shell โดยอัตโนมัติที่ 750 ดอลลาร์ (15% ของ 5,000 ดอลลาร์)
ไม่มีระยะเวลาไถ่ถอนขั้นต่ำเมื่อ Copy Trade ดังนั้น ผู้ใช้ eToro จึงสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ผู้ใช้ eToro ยังไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม และสามารถเพิ่มหรือลดสินทรัพย์ออกจากพอร์ตได้อีกด้วย
วิธีเลือกว่ามีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด
เราได้สำรวจ 10 วิธีลงทุนเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีไปแล้ว
ตอนนี้ เราจะพูดถึงปัจจัยสำคัญบางประการ ที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องประเมินการลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านบาท
นอกจากนี้ คุณยังสามารถดูคำแนะนำของเราเกี่ยวกับมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีในปี 2024 ได้
ลงทุนให้หลากหลาย
วิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี ต้องแน่ใจว่าเลือกลงทุนอย่างหลากหลายอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงตลาดขาขึ้นก็ตาม
เพราะแทนที่จะเลือกลงทุนในหนึ่งหรือสองรูปแบบ การสร้างพอร์ตการลงทุนที่ดีจึงควรครอบคลุมสินทรัพย์ที่แตกต่างกันหลายสิบหรือหลายร้อยรายการ
ทั้ง ETF และกองทุนดัชนี จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ง่ายกว่าที่เคย อย่างไรก็ตาม พอร์ตการลงทุนที่หลากหลายไม่ควรครอบคลุมเฉพาะสินทรัพย์หลายประเภทเท่านั้น แต่ยังต้องมีรายได้และการเติบโตที่ดีด้วย
พาสซีฟหรือแอคทีฟ
ตัวชี้วัดอีกอย่างที่ควรพิจารณาสำหรับการลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านบาท คือ ระยะเวลาที่นักลงทุนต้องการ
การเป็นเทรดเดอร์ที่แอคทีฟมักซื้อและขายบ่อย ๆ และต้องคอยติดตามตลาดการเงินในแต่ละวันตลอดเวลา ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่มีทั้งประสบการณ์และเวลา
ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาหรือไม่มีทักษะที่จำเป็นในการซื้อขายในตลาดมากพอ อาจเหมาะสมกับกลยุทธ์การลงทุนแบบพาสซีฟมากกว่า
เช่น กองทุนดัชนีและ ETF ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ได้รับการจัดการอย่างมืออาชีพ และไม่มี ข้อกำหนดในการรักษาพอร์ตการลงทุน
โอกาสการเติบโตและความเสี่ยง
สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ เมื่อประเมินว่ามีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ สินทรัพย์แต่ละประเภทจะมาพร้อมกับระดับความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตที่แตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น จะต้องรับความเสี่ยงให้มากขึ้น
- ตัวอย่างเช่น วิธีบริหารเงิน 10 ล้านระยะสั้นที่ดีที่สุดในสายตาของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง คือ คริปโตเคอเรนซี่
- แต่สินทรัพย์คริปโตก็มีแนวโน้มที่ราคาจะผันผวนในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นกัน
- หมายความว่า การซื้อโทเค็นที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม อาจส่งผลให้ได้กำไรที่หาไม่ได้จากที่อื่น
- นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักว่า ทำไมการขายพรีเซลของสกุลเงินดิจิทัล เช่นBitcoin Minetrix จึงยังคงได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม ถ้า มีเงิน 10 ล้าน จะทําอะไรต้องมีสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยด้วยเช่นกัน เช่น พันธบัตร หุ้นบลูชิพ และ REIT ซึ่งจะทำให้พอร์ตการลงทุนระยะยาวมีความสมดุลมากขึ้น
ลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาว
นอกจากนี้ นักลงทุนควรจะประเมินด้วยว่าพวกเขาวางแผนที่จะถือครองสินทรัพย์ที่เลือกไว้ในระยะยาวหรือระยะสั้น เนื่องจากตลาดบางแห่งเอื้อต่อนักลงทุนระยะยาวมากกว่า
ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นที่มีการเจริญเติบโตต้องใช้เวลาหลายปี กว่าบริษัทจะบรรลุผลลัพธ์สูงสุด
ในทางกลับกัน สินทรัพย์คริปโตจะมีโอกาสราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจคงอยู่เพียงไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะต้องช่วงชิงการเข้าซื้อในช่วงขาขึ้น และถอนเงินออกก่อนที่จะเป็นขาลง
วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด – มีเงิน 10 ล้าน ลงทุน อะไรดี 2566?
เราได้กล่าวถึงการมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่มีโอกาสการเติบโตสูง อย่างคริปโตเคอเรนซี่ที่กำลังมาแรงไปแล้ว ซึ่งนักลงทุนมักจะได้ราคาส่วนลดสำหรับโครงการที่ต้องการระดมทุนช่วงพรีเซล
เพราะเมื่อการขายพรีเซลสิ้นสุดลง และโทเค็นถูกลิสบนกระดานแลกเปลี่ยนสาธารณะ ราคาของคริปโตก็มักจะสูงขึ้น
ด้วยเหตุนี้ Sponge V2 จึงสามารถดึงดูดเงินทุนได้จำนวนมากด้วยประโยชน์ใช้งานที่มากมายและครบถ้วน
มีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี? – บทช่วยสอนวิธีลงทุนใน Sponge V2
การลงทุนในการขายพรีเซล ต้องมีกระบวนการที่แตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อหุ้น IPO
เหตุผลก็คือ แทนที่จะต้องซื้อผ่านโบรกเกอร์ แต่นักลงทุนที่ซื้อช่วงพรีเซล สามารถดำเนินการการลงทุนให้เสร็จสิ้นได้โดยตรง บนเว็บไซต์ของโครงการที่เกี่ยวข้อง
ด้านล่างนี้จะอธิบายขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการลงทุนใน Sponge V2 ก่อนที่การขายพรีเซลจะสิ้นสุดลง
ขั้นตอนที่ 1: ตั้งค่า Crypto Wallet
ผู้ซื้อต้องตรวจสอบว่าได้ติดตั้ง Crypto Wallet เช่น MetaMask เรียบร้อยแล้ว (แนะนำให้ผู้ใช้มือถือดาวน์โหลด TrustWallet)
ขั้นตอนที่ 2: เชื่อมต่อกระเป๋าเงิน
ผู้ซื้อต้องไปที่หน้าพรีเซลอย่างเป็นทางการของ Sponge V2 เพื่อค้นหาและคลิก “ซื้อเลย” หลังจากนั้นจะสามารถเลือกกระเป๋าเงินที่ดาวน์โหลดไว้ได้ (เช่น Metamask หรือ TrustWallet) ตามด้วยการเข้าสู่ระบบ
ขั้นตอนที่ 3: ซื้อ USDT หรือ ETH
ในขั้นตอนนี้ ผู้ซื้อควรมียอดคงเหลือ USDT หรือ ETH ในกระเป๋าเงินที่เพียงพอ หรือซื้อ ETH เพิ่มผ่านบัตรเครดิตได้
จากนั้น จึงเลือก “ซื้อ $SPONGE”
ขั้นตอนที่ 4: ซื้อ $SPONGE
ผู้ซื้อจะต้องระบุจำนวน USDT หรือ ETH ที่พวกเขาต้องการใช้จ่าย เพื่อรับโทเค็น $SPONGE
ขั้นตอนที่ 5: รับและ Stake $SPONGE
ในขั้นตอนสุดท้าย นักลงทุนจำเป็นต้องยืนยันการทำธุรกรรมเพื่อซื้อ $SPONGE และสามารถ Stake เพื่อรับเครดิตได้ทันที
บทสรุป – มีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดี
เราได้รีวิวการเข้าถึงการลงทุนเมื่อมีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีให้กำไรงอกเงยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า พวกเขาเลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้เท่านั้น
แนวทางที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง คือ การสร้างพอร์ตที่มีความหลากหลายสูง ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ REIT หุ้นปันผล กองทุนดัชนี และคริปโต
ผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตสูง อาจพิจารณา Sponge V2 ซึ่งเป็นโครงการคริปโตใหม่ ที่มีโอกาสการเติบโตอย่างมหาศาล ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ Stake โทเค็นได้